เช็กด่วน! 4 โรคหน้าฝนที่ลูกๆมักเป็น
- ctchaninthon
- 6 ส.ค. 2567
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 8 ส.ค. 2567
พอเข้าฤดูฝนทีไร ลูกๆ มักเป็นไข้ ป่วยบ่อย ใช่ไหมคะ เพราะในหน้าฝนสภาพอากาศเริ่มเย็นลง และมีความชื้นสูงขึ้น ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้ดี ส่งผลให้เกิดโรคที่มาพร้อมกับฤดูฝน โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ระบบภูมิต้านทานในร่างกายยังไม่แข็งแรงเท่าผู้ใหญ่ และเด็กวัยเรียนที่ต้องคลุกคลีกับคนหมู่มาก ย่อมมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อและเกิดโรคเด็กต่างๆ ได้ง่าย
คุณแม่รู้ไหม ในแต่ละปีเด็กๆ มีอัตราการป่วยเพิ่มขึ้นในฤดูประมาณ 30 %
จากงานวิจัยเรื่อง อัตราการป่วยของเด็กในช่วงฤดูฝน: การวิเคราะห์ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์และสาธารณสุข ปี 2562
ศึกษาพบว่า ในเเต่ละปีมีอัตราการป่วยของเด็กเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูฝน ประมาณ 30% เมื่อเทียบกับฤดูอื่นๆและโรคที่พบมากที่สุดคือโรคไข้หวัดใหญ่
วันนี้ครูก้อยจะพามาทำความรู้จัก 4 โรคหน้าฝนในเด็กที่คุณแม่ควรระวังและเตรียมการป้องกันอย่างถูกวิธีกันค่ะ
1. โรคไข้หวัดใหญ่
เป็นกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ ที่เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซ่า (Influenza Virus) ที่แพร่กระจายผ่านทางน้ำลายและน้ำมูกของผู้ป่วย เด็กเล็กและเด็กวัยเรียน เป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคได้ง่าย เช่น ปอดอักเสบ สมองอักเสบ
อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ คือ เมื่อเด็กสัมผัส หรือหายใจเอาเชื้อไวรัสเข้าไป จะมีระยะฟักตัวประมาณ 1-4 วัน จากนั้น จะมีไข้สูง ไอ น้ำมูก คัดจมูก จาม มีอาการปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลียคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา แต่จะมีอาการมากกว่า หากอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น ไข้สูงลอย ซึม หอบหายใจไม่สะดวก รับประทานอาหารไม่ได้ ชัก ควรรีบพบแพทย์
สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย และป้องกันการติดเชื้อด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ ในเด็กที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ควรให้หยุดพักรักษาตัว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อ
2. โรคติดเชื้อไอพีดี
เป็นโรคที่ติดเชื้อจากแบคทีเรีย “นิวโมคอคคัส” (Streptococcal Pneumoniae) ชนิดรุนแรงและรุกราน ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปอดอักเสบรุนแรง ไปจนถึงทำให้พิการและเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี เชื้อนิวโมคอคคัสเป็นเชื้อที่สามารถแพร่กระจายได้ผ่านการไอหรือจาม
อาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้อนิวโมคอคคัส คือ มีไข้สูง งอแง ปวดหู ความรุนแรงจะขึ้นกับอวัยวะที่ติดเชื้อหรือลุกลาม เช่น หากการติดเชื้อในกระแสเลือด เด็กจะมีอาการไข้สูง ร้องกวน อาจเกิดการช็อก และเสียชีวิตได้
หากติดเชื้อทางระบบประสาท คือ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เด็กจะมีไข้สูง ซึม อาเจียน คอแข็ง ถ้ารักษาไม่ทันท่วงทีอาจเสียชีวิต หรือ ติดเชื้อที่ทางเดินหายใจส่วนล่าง คือ ปอดอักเสบ เด็กมีไข้ ไอ หอบ ถ้ารุนแรงมากอาจเกิดภาวะการหายใจล้มเหลวได้ เป็นต้น
การป้องกันสามารถทำได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไอพีดี ซึ่งนับเป็นวิธีที่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังสามารถป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ดื้อยาได้ดี รวมถึงหมั่นให้เด็กล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนและหลังทำกิจกรรมต่างๆ ปิดปาก ปิดจมูกทุกครั้งเวลาไอหรือจาม ควรสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งจะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อได้
3. โรคไข้เลือดออก
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue) โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค พบการระบาดสูงในช่วงฤดูฝน เพราะมีน้ำขังที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เมื่อยุงลายตัวเมียดูดเลือดจากผู้ป่วยที่มีเชื้อเดงกี่เข้าไป เชื้อไวรัสเดงกี่ในยุงจะเพิ่มจำนวน และกระจายเข้าไปสู่ต่อมน้ำลายของยุงเตรียมพร้อมที่จะปล่อยเชื้อให้กับคนที่ถูกกัดครั้งต่อไปได้ โดยเชื้อเดงกี่จะมีอายุอยู่ตลอดอายุของยุง ซึ่งอยู่ได้นาน 1-2 เดือน
อาการของเด็กที่เป็นโรคไข้เลือดออกมักจะแสดงหลังจากได้รับเชื้อแล้วประมาณ 5-8 วัน โดยจะมีไข้สูง 38-40 องศาเซลเซียส นานประมาณ 2-7 วัน ตาและใบหน้า มักจะแดงกว่าปกติ เบื่ออาหาร มีอาการซึม บางคนอาจมีผื่นขึ้น หรือพบว่ามีจุดเลือดออกขึ้นตามลำตัว แขน ขา หากมีอาการอาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด แสดงถึงอันตราย เด็กอาจจะมีภาวะช็อกซึ่งจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาโดยด่วน
การป้องกัน คือทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เช่น แหล่งน้ำขังในบ้าน และการป้องกันลูกๆ ไม่ให้ยุงกัด ด้วยการนอนในมุ้ง ทายากันยุง หรือการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกในเด็ก รวมถึงการไปพบแพทย์เมื่อป่วยเป็นไข้ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
4. โรคมือ เท้า ปาก
เป็นโรคที่มาจากการเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส เช่น คอกซากีไวรัส เอ 16 (coxsackievirus A16) และเอนเทอโรไวรัส 71 (enterovirus 71) ซึ่งตัวเอนเทอโรไวรัส 71 เรียกสั้นๆ ว่าเชื้อ อีวี 71 เป็นเชื้อที่รุนแรงที่สุด สามารถติดต่อโดยการสัมผัส น้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระของผู้ป่วยโดยตรงหรือติผ่านของเล่น มือผู้เลี้ยงดู น้ำและอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ ซึ่งจะพบมากในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 5 ปี
อาการเริ่มต้นมักมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลียประมาณ 1-2 วัน มีอาการเจ็บปาก ไม่ยอมรับประทานอาหาร น้ำลายไหล เพราะมีแผลในปากเหมือนแผลร้อนใน มีผื่นเป็นจุดแดงหรือเป็นตุ่มน้ำใสขึ้นบริเวณ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และอาจมีบริเวณก้น แขน ขา
ในปัจจุบันมีวัคซีนที่ป้องกันโรคมือ เท้า ปาก จากเชื้อไวรัสเอนเทอโรไวรัส 71 (อีวี 71) ซึ่งมีประสิทธิภาพดี เหมาะสำหรับเด็กอายุ 6 เดือน - 5 ปี โดยฉีด 2 เข็ม ในการฉีดนั้นเว้นระยะห่างจากวัคซีนเข็มแรกเป็นเวลา 1 เดือน สำหรับเด็กที่เป็นโรคมือเท้าปากแล้ว สามารถฉีดได้แต่จะต้องหายจากโรคก่อนและต้องเว้นระยะห่างประมาณ 1 เดือน ทั้งนี้หากมีโรคประจำตัว รับประทานยา หรือแพ้ยา และมีความกังวล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน
อย่างไรก็ตามในสายพันธุ์อื่นๆ ของไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคนี้ เช่น คอกซากีไวรัส เอ 16 (coxsackievirus A16) ก็ยังไม่มีวัคซีนที่ป้องกันได้
ดังนั้นการป้องกันที่สำคัญ คือ แยกผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคไม่ให้ไปสัมผัสกับเด็กคนอื่น รวมทั้งผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็ก หมั่นทำความสะอาดของเล่นทุกวัน พร้อมทั้งดูแลเรื่องอาหาร น้ำดื่ม ควรมีกระติกน้ำ หรือแก้วส่วนตัวเอาไว้ใช้ที่โรงเรียน และฝึกให้เด็กใช้ช้อนกลางทุกครั้ง ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน
เพราะฉะนั้นคุณเเม่ควรหมั่นดูแล และเฝ้าระวังสุขภาพของลูกๆ อย่างเป็นพิเศษนะคะ เพราะร่างกายยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ และยังไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆได้ค่ะ





ความคิดเห็น