top of page

เช็ค ! 3 สัญญาณโรคไบโพลาร์ในเด็ก

อัปเดตเมื่อ 26 ส.ค. 2567

ree

เชคอาการ สัญญาณอารมณ์ ที่บ่งบอกว่าลูกอาจเป็นไบโพาลาร์ 


คุณเเม่เคยเห็นอาการเหล่านี้ของลูกๆไหมคะ ?  


  1. อารมณ์ดีผิดปกติ คือ มีความสุข ครื้นเครง ตื่นเต้นมากเกินไป 


  2. อารมณ์รุนเเรงผิดปกติ คือ  มีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธ หงุดหงิดง่าย และก้าวร้าวเกินไป


  3. อารมณ์เศร้าผิดปกติ คือ ร้องไห้ง่าย รู้สึกสิ้นหวัง และคิดด้านลบเกี่ยวกับตนเองบ่อย 


ซึ่งอาการเหล่านี้อาจบอกได้ว่าลูกๆ ของคุณเเม่เป็นโรคไบโพลาร์ได้ค่ะ 


วันนี้ครูก้อยจะมาให้ความรู้เกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ในเด็กว่าเป็นอย่างไร สาเหตุมาจากอะไร และวิธีการรักษาเป็นอย่างไร  โดยอ้างอิงจากบทความ เด็กก็เป็นไบโพลาร์ได้ ของนายเเพทย์ทวีศักดิ์

สิริรัตน์เรขา ปี2565 ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ศูนย์วิชาการแฮปปี้โฮม 


นอกจากนี้ครูก้อยได้ศึกษางานวิจัย  จากงานวิจัย Bipolar Disorder in Kids - A Quick Guide 

ตีพิมพ์ในวารสาร Child Mind Institute ปี 2023 


ศึกษาเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ในเด็กซึ่งพบว่า โรคไบโพลาร์ในเด็กทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างรุนแรงและมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและพัฒนาการทางด้านจิตใจของเด็ก


โรคไบโพลาร์คืออะไร ? 


โรคไบโพลาร์หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่าโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว (Bipolar Disorder) โรคนี้เป็นโรคที่มีความผิดปกติทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีลักษณะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมา ระหว่างอารมณ์ซึมเศร้า (major depressive episode) สลับกับช่วงที่อารมณ์ดีมากกว่าปกติ (mania หรือ hypomania) โดยระยะอาการในแต่ละช่วงอาจเป็นอยู่นานเป็นสัปดาห์ หรือหลายเดือนก็เป็นได้ค่ะ


โดยเด็กก็สามารถเป็นโรคไบโพลาร์ได้เช่นเดียวกันกับผู้ใหญ่ แต่มีอาการแตกต่างออกไปคือ แทนที่จะครื้นเครง กลับหงุดหงิด อาละวาด ก้าวร้าว แทนที่จะเศร้าเสียใจ กลับปวดหัว ปวดท้อง คิดจะหนีออกจากบ้าน และในหลายรายพบว่าแยกกันไม่ได้ระหว่างอารมณ์ดี และอารมณ์เศร้าเกินกว่าปกติ


อาการโรคไบโพลาร์ในเด็กเป็นอย่างไร ? 


โรคไบโพลาร์ในเด็กสามารถ แบ่งได้เป็น 2 ช่วง ดังนี้


1.ช่วงครื้นเครง (manic episode) เด็กๆ มักจะมีอาการ ดังนี้


• มีความสุข ครื้นเครง ตื่นเต้นมากเกินไป ซึ่งมักไม่สอดคล้องกับเหตุการณ์


• มีความมั่นใจมากเกินไป คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ หรือมีอำนาจมาก (grandiosity)


• อารมณ์ฉุนเฉียวบ่อย หงุดหงิดง่าย


• พูดเร็วมากเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย


• มีปัญหาในการนอน แต่ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย


• มีปัญหาด้านสมาธิ และความคิดฟุ้งซ่าน


• มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่น่าเพลิดเพลิน แต่มีความเสี่ยง


• ทำสิ่งที่เสี่ยงหรือบุ่มบ่าม ขาดการยับยั้ง


2.ช่วงซึมเศร้า (major depressive episode) เด็กๆ มักจะมีอาการ ดังนี้


• รู้สึกเศร้าบ่อย ร้องไห้ง่าย แม้ไม่มีตัวกระตุ้น


• หมดพลัง และไม่สนใจกิจกรรมที่เคยชอบ


• หงุดหงิด โกรธ หรือความเป็นศัตรูมากขึ้น


• บ่นเกี่ยวกับอาการปวดทางร่างกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ


• ไม่มีสมาธิ


• มีปัญหาการนอน นอนหลับมากเกินไป


• กินมากเกินไป หรือน้อยเกินไป


• มีปัญหาด้านความสัมพันธ์ แยกตัว


• รู้สึกสิ้นหวังและไร้ค่า คิดด้านลบเกี่ยวกับตนเอง


นอกจากนี้เกณฑ์การวินิจฉัยโรคที่อ้างอิงตามคู่มือการวินิจฉัยโรคทางจิตเวชฉบับล่าสุด DSM-5 ของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน สามารถแบ่งโรคไบโพลาร์ (bipolar disorder) ออกเป็นกลุ่มย่อยต่าง ๆ ได้ดังนี้ 


  1. bipolar I disorder มีช่วงครื้นเครง (manic episode) ที่ครบตามเกณฑ์ ซึ่งอาจมีช่วงซึมเศร้า (major depressive episode) เกิดนำมาก่อน หรือเกิดตามมาก็ได้


  2. bipolar II disorder มีช่วงครื้นเครงน้อย ๆ (hypomanic episode) และมีช่วงซึมเศร้า (major depressive episode) อย่างน้อย 1 ครั้ง


  3. cyclothymic disorder มีช่วงครื้นเครง และช่วงซึมเศร้า หลายรอบในช่วง 1 ปี โดยไม่จำเป็นต้องมี อาการครบตามเกณฑ์

 

ซึ่งเด็กที่เป็นไบโพลาร์ มักมีอาการคล้ายกับโรคสมาธิสั้น (Attention Deficit/ Hyperactivity Disorder) และบางคนก็เป็นร่วมกันทั้ง 2 อย่าง โดยโรคสมาธิสั้นมักพบบ่อยกว่าไบโพลาร์มาก ถ้าอาการแยกกันได้ไม่ชัดเจน แพทย์มักให้ยาเพื่อรักษาโรคสมาธิสั้นไปก่อน ถ้าอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ แพทย์มักจะทบทวนการรักษาใหม่อีกครั้ง เพื่อให้รับยาโรคไบโพลาร์เเทน


สาเหตุของโรคไบโพลาร์ ?


สาเหตุของโรคไบโพลาร์มักไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งโดยตรง แต่เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกันทั้งปัจจัยทางพันธุกรรม และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เป็นดังนี้


  1. ครอบครัวที่มีประวัติเป็นโรคไบโพลาร์มักมีความเสี่ยงสูงกว่าครอบครัวทั่วไป และลูกๆ ก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 8-10 เท่า โดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับความผิดปกติในการทํางานของสมอง และความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง


  2. การที่ลูกๆ ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์หรือความเครียดต่าง ๆ ในชีวิตได้ รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายในอดีต และความรุนแรงทางอารมณ์ในครอบครัว ซึ่งสาเหตุนี้ไม่ส่งผลโดยตรงแต่อาจเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้ 


การบําบัดรักษาโรคไบโพลาร์ในเด็ก ? 


หลังจากจิตแพทย์ ประเมินอาการจากประวัติ อาการต่าง ๆ ที่พบเห็น ประเมินสภาวะทางจิตใจ และสรุป

การวินิจฉัยแล้วว่าเป็นโรคไบโพลาร์ แนวทางการบําบัดรักษา ประกอบด้วยดังนี้


  1. การใช้ยารักษา (pharmacotherapy) เป็นการรักษาที่มีผลลัพธ์ดีในเด็ก มีการใช้ยาที่หลากหลายตามลักษณะอาการและระดับความรุนแรงของเด็กแต่ละคน แต่ควรเริ่มต้นให้ยาที่ขนาดน้อย แล้วค่อย ๆ ปรับยาช้า ๆ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงจากยา


  2. การให้คําแนะนําเบื้องต้นเกี่ยวกับการดูแลตนเอง เช่น ปรับกิจวัตรต่าง ๆ ให้เป็นเวลาปกติขึ้น เช่น รับประทาน อาหารเป็นเวลา นอนเป็นเวลา ออกกําลังกายสมํ่าเสมอ ฝึกเทคนิคการจัดการอารมณ์การแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม ตามช่วงวัย ปรับมุมมองความคิดในด้านบวก


  3. การให้ความรู้สําหรับผู้ปกครอง (psychoeducation) ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคไบโพลาร์และแนวทางในการดูแล


  4. การรักษาโดยเน้นครอบครัว (family-focused therapy) เรียนรู้เกี่ยวกับโรคร่วมกัน การสังเกตอาการ ฝึกฝนทักษะการแก้ไขปัญหา ทักษะการสื่อสาร การรับฟัง เข้าใจ และให้กําลังใจ โดยวิธีการนี้พบว่าช่วยลดอัตราการเกิด แะละอาการกําเริบของโรคได้


  5. การรับรักษาในโรงพยาบาล (hospitalization) วิธีการนี้จะถูกรับรักษาก็ต่อเมื่อแพทย์ประเมินแล้วมีความเสี่ยงสูงต่อการทําร้ายตนเอง 


ดังนั้น ถ้าลูกๆ ของคุณเเม่มีอาการเป็นโรคไบโพลาร์แล้ว ควรรีบเข้าพบจิตเเพทย์นะคะ เพื่อรักษาอาการของโรคนี้ได้อย่างเหมาะสม และถูกวิธีที่สุดค่ะ 


โดยคุณเเม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ โรคไบโพลาร์สามารถหายได้ ถ้าได้รับการวินิจฉัยถูกต้อง และรับการรักษาอย่างเหมาะสม ซึ่งการรักษาด้วยยามีความจําเป็น และได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่สิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้ลูกๆ ของคุณเเม่นั้นมีอาการดีขึ้นอีกอย่างหนึ่งคือ กำลังใจจากคุณเเม่ และครอบครัวค่ะ


 
 
 

Comments


bottom of page