top of page

เช็ก! 4 อาหารติดเค็ม ส่งผลเสียต่อร่างกายของลูก

อัปเดตเมื่อ 26 ส.ค. 2567

ree

อาหารรสชาติเค็มเป็นสิ่งที่หลายๆ ครอบครัวคุ้นเคย เนื่องจากรสชาติเค็มทำให้อาหารอร่อย เช่น อาหารแปรรูป ขนมเบเกอร์รี่  เครื่องดื่มเกลือเเร่หรือน้ำผลไม้ รวมไปถึงอาหารปรุงรส ซึ่งไม่เหมาะให้ลูกๆ รับประทานมากเกินไป เพราะส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ค่ะ 


วันนี้ครูก้อยจะพามาทำความรู้จักเกี่ยวกับ 4 อาหารติดเค็มที่ลูกๆ ชอบรับประทานกัน


  1. ขนมที่มีการเติมผงฟู  เช่น เค้ก คุกกี้ แพนเค้ก ขนมปัง เป็นต้น เนื่องจากผงฟูมีโซเดียมเป็นองค์ประกอบ โดยผงฟู 100 กรัมจะมีปริมาณโซเดียมแฝงอยู่ ประมาณ 11,600 มิลลิกรัม  


  2. อาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง อาหารหมักดอง โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป ขนมกรุบกรอบ เนื้อเค็ม ไข่เค็ม ปลาเค็ม ปลาร้า ผักผลไม้ดอง มักมีโซเดียมสูงจากเกลือ และโซเดียมแฝงจากสารเเต่งสี แต่งกลิ่น และเเต่งรส


    โดยปริมาณของโซเดียมจะมีความเเตกต่างกันไปตามชนิดของอาหารแปรรูป เช่น บะหมี่กึ่ง สำเร็จรูปมีโซเดียมแฝงอยู่ 1,720 มิลลิกรัมต่อ 1 ซอง (60 กรัม)

    ขนมกรุบกรอบมีปริมาณโซเดียมแฝง 500–1,000 มิลลิกรัมต่อ 1 ซอง (100 กรัม) เป็นต้น 


  3. เครื่องดื่มเกลือแร่และน้ำผลไม้  ในเครื่องดื่มเกลือเเร่ ที่คุณเเม่ให้ลูกที่เป็นนักกีฬาทานตอนที่เสียเหงื่อมาก มักมีการเติมเกลือลงไป เพื่อทดแทนเกลือแร่ที่สูญเสียออกไปจากร่างกาย โดยมีปริมาณโซเดียมที่เเฝงอยู่ 100- 200 มิลลิกรัม ในปริมาณ 240 มิลลิลิตร 


    ส่วนน้ำผลไม้บรรจุกล่อง ขวด หรือกระป๋อง ก็มักจะมีการเติมเกลือปรุงรสชาติ และโซเดียมแฝง จากวัตถุเจือปนอาหาร โดยโซเดียมที่อยู่ในน้ำผลไม้มีปริมาณ 5 -20 มิลลิกรัม ในปริมาณ 240 มิลลิลิตร


  4. เครื่องปรุงรส เช่น น้ำปลา ซีอิ๊วขาว กะปิ ซอสหอยนางรม น้ำปลาร้า ซุปก้อน และผงชูรส เป็นสารเติมแต่งรสชาติอาหาร ที่ทำให้อาหารมีรสชาติเข้มข้น และอร่อยขึ้น คุณแม่รู้ไหม เครื่องปรุงรสนั้นมีปริมาณโซเดียมที่สูง ยกตัวอย่างเช่น


  • เกลือ : มีโซเดียมประมาณ 2,300 มิลลิกรัมต่อช้อนชา (ประมาณ 6 กรัม)


  • น้ำปลา : มีโซเดียมประมาณ 1,300-1,500 มิลลิกรัมต่อช้อนโต๊ะ (ประมาณ15 มิลลิลิตร)


  • ซอสถั่วเหลือง : มีโซเดียมประมาณ 900-1,000 มิลลิกรัมต่อช้อนโต๊ะ (ประมาณ 15 มิลลิลิตร)



โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้มีการแนะนำปริมาณเกลือและโซเดียมที่เด็กในเเต่ละวัยควรได้รับต่อวัน ได้แก่


  • เด็กอายุต่ำกว่า 12 เดือน ควรได้รับ เกลือ น้อยกว่า 1 กรัมต่อวัน และโซเดียมน้อยกว่า 0.4 กรัมต่อวัน


  • เด็กอายุ 1-3 ปี ควรบริโภคเกลือ 2 กรัมต่อวัน และโซเดียมน้อยกว่า 0.8 กรัมต่อวัน


  • เด็กอายุ 4-6 ปี ควรบริโภคเกลือ 3 กรัมต่อวัน และโซเดียมน้อยกว่า 1.2 กรัมต่อวัน


  • เด็กอายุ 7-10 ปี ควรบริโภคเกลือ 5 กรัมต่อวัน และโซเดียมน้อยกว่า 2 กรัมต่อวัน


  • เด็กอายุ 11 ปีขึ้นไป ควรบริโภคเกลือ 6 กรัมต่อวัน และโซเดียมน้อยกว่า 2.4 กรัมต่อวัน



นอกจากนี้ครูก้อยยังสืบค้นพบว่า การรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง เพิ่มโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น


จากงานวิจัยเรื่อง  Reducing Sodium Intake in Children: A Public Health Investment ที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Journal of Clinical Hypertension ปี 2015


ศึกษาพบว่า โดยเฉลี่ยแล้วเด็กอายุ 2-19 ปี บริโภคโซเดียมมากกว่า 3.1 มก. ต่อวัน โดยเฉพาะเด็กผู้ชายมีการบริโภคโซเดียมมากกว่าเด็กผู้หญิงเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มีความดันโลหิตสูง และนำไปสู่โรคหัวใจได้ 


อีกทั้งการรับประทานโซเดียมมากเกินไป ยังสามารถนำไปสู่ปัญหาทางด้านสุขภาพในด้านอื่นๆ ได้ เช่น ปัญหากระดูกและแร่ธาตุในร่างกาย เพราะจะทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมผ่านทางปัสสาวะ ซึ่งจะส่งผลต่อความหนาแน่นของกระดูก ทำให้เสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนได้ในอนาคตอีกด้วย


ดังนั้นคุณเเม่ไม่ควรให้ลูกรับประทานอาหารที่มีการเติมเกลือหรือโซเดียมที่มากเกินไป เพื่อป้องกันปัญหาทางด้านสุขภาพของลูกๆ ในระยะยาวค่ะ


โดยวิธีลดปริมาณโซเดียมในอาหารสามารถทำได้ เช่น 


  • ลดการปรุงรสชาติอาหารให้มีรสชาติเค็ม 


  • เลือกใช้เครื่องเทศในการปรุงอาหารแทนการใช้เกลือและซอสที่มีโซเดียมสูง เช่น กระเทียม


  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ เช่น เครื่องปรุงที่มีการลดโซเดียม


  • เตรียมอาหารสดใหม่แทนการใช้อาหารแปรรูป


นอกจากนี้ควรลดการรับประทานอาหารจากร้าน เนื่องจากมีการปรุงรสชาติอาหารที่เข้มข้น และมีการเติมเกลือหรือโซเดียมที่สูง 


เพราะฉะนั้นครูก้อยจึงเเนะนำว่าให้คุณเเม่ทำอาหารที่มีรสชาติอ่อน และไม่เค็ม รวมไปถึงเพิ่มความหลากหลายของอาหาร เช่น การเพิ่มผักหรือผลไม้ที่หลากสี เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกๆ ค่ะ


Comments


bottom of page