แนะนำ! 6 วิตามินที่ช่วยให้ลูกสุขภาพดี
- ctchaninthon
- 8 ส.ค. 2567
- ยาว 2 นาที
สังเกตอาการของลูก…ป่วยบ่อย อาจเพราะขาดวิตามิน!
หากลูกๆ ของคุณแม่มีอาการเหล่านี้ ภูมิคุ้มกันตก ป่วยหรือเป็นไข้หวัดบ่อย สมาธิสั้น เบื่ออาหาร น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ และผิวแห้ง ซึ่งอาการเหล่านี้อาจบ่งบอกว่าลูกๆ ของคุณเเม่นั้นขาดวิตามินได้ค่ะ
โดยอาการขาดวิตามินในเด็กอาจมีสาเหตุมาจากการทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ บางรายอาจมีโรคประจำตัว หรือได้รับยาเพื่อรักษาโรคต่ออย่างเนื่อง ที่ทำให้การดูดซึมของวิตามินมีความผิดปกติ ส่งผลให้ร่างกายขาดวิตามินและเกิดอาการตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงขั้นรุนแรงได้
วิตามินมีความสำคัญอย่างไรต่อร่างกาย ?
วิตามินคือสารอาหารประเภทหนึ่งที่ร่างกายต้องการในปริมาณเล็กน้อย แต่มีความสำคัญ หากร่างกายขาดวิตามินเมื่อไหร่ ก็อาจส่งผลให้ร่างกายเจ็บป่วย หรือเกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ได้โดยไม่รู้ตัวได้ค่ะ
วันนี้ครูก้อยมาเเนะนำ 6 วิตามินที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพของลูกๆ โดยอ้างอิงจากปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย พ.ศ.2563 สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ดังนี้ค่ะ
.
1. วิตามินเอ (Vitamin A)
วิตามินเอ มีส่วนช่วยในการมองเห็น รักษาสุขภาพของผิวหนัง โดยแหล่งอาหารที่พบ คือ ตับ ไข่ นม ผักใบเขียว และผักสีส้มเช่น แครอท และมันเทศ
ปริมาณที่ลูกควรได้รับต่อวัน คือ
เด็กอายุ 1-3 ปีควรได้รับ 300 มก.
เด็กอายุ 4-8 ปีควรได้รับ 350 มก.
หากเด็กขาดวิตามินเอ จะมีอาการตาแห้งและการมองเห็นในที่มืดผิดปกติ และมีอาการผิวแห้ง เพราะว่า ในวิตามินเอมีบทบาทสำคัญในการสร้างโรดอปซิน (rhodopsin) ซึ่งเป็นโปรตีนในตาที่ช่วยในการมองเห็นในที่มืด รวมไปถึงช่วยในการควบคุมการผลิตน้ำมันธรรมชาติในผิวหนังที่ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น
2. วิตามินบี (Vitamin B)
วิตามินบี มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างระบบประสาทและสมอง เม็ดเลือดแดง และเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างพลังงานของร่างกาย
วิตามินบีเเบ่งออกเป็น 8 ชนิดด้วยกันคือ
วิตามินบี 1 (Thiamine) หากเด็กขาดวิตามินบี 1 จะมีอาการเหนื่อยล้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง อาการชาบริเวณปลายมือปลายเท้าหรือโรคเหน็บชา (Beriberi) เนื่องจากวิตามินบี 1 ช่วยในการเผาผลาญพลังงานที่จะนำไปใช้ในระบบประสาท ดังนั้นการขาดวิตามินบี1 จะทำให้เซลล์ประสาททำงานผิดปกติ และกล้ามเนื้ออ่อนแรง ส่งผลให้มีอาการเหนื่อยล้าและโรคเหน็บชา (Beriberi)
วิตามินบี2 (Riboflavin) หากเด็กขาดวิตามินบี 2 จะมีอาการริมฝีปากแห้งแตกเป็นแผล ตาแห้งและอักเสบ ผิวหนังอักเสบ เนื่องจากวิตามินบี2 ช่วยในกระบวนการเผาผลาญพลังงานและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ดังนั้นขาดวิตามินบี2 จะทำให้เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุผิวได้
วิตามินบี 3 (niacinamide or niacin) หากเด็กขาดวิตามินบี 3 จะทำให้เกิดโรคเพลลากรา (Pellagra) ซึ่งมีอาการทางผิวหนัง ท้องเสีย และมีปัญหาทางสมอง เช่น การสับสน เนื่องจากวิตามินบี 3 มีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญสารอาหารต่างๆ ที่ช่วยในการทำงานของเซลล์ในระบบประสาทและผิวหนัง
วิตามินบี 5 (pantothenic acid) หากเด็กขาดวิตามินบี 5 จะมีอาการเหนื่อยล้า ปวดศีรษะ ปัญหาการนอนหลับ และอาการทางระบบประสาท เช่น อาการชาตามเส้นประสาท เนื่องจากวิตามินบี5 มีบทบาทในการสังเคราะห์โคเอ็นไซม์เอ (Coenzyme A) ซึ่งจำเป็นในกระบวนการเผาผลาญพลังงานเพื่อไปใช้ในร่างกาย
วิตามินบี 6 (pyridoxine) หากเด็กขาดวิตามินบี 6 จะทำให้มีภูมิคุ้มกันต่ำ อารมณ์หงุดหงิด และอาจจะนำไปสู่โรคโลหิตจางได้ เนื่องจากวิตามินบี 6 มีส่วนช่วยในการสนับสนุนการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย สารสื่อประสาท และฮีโมโกบินหรือเม็ดเลือดแดง
วิตามินบี 7 (biotin) หากเด็กขาดวิตามินบี 7 จะทำให้มีอาการผมร่วง ผมขาดและเปราะง่าย เนื่องจากวิตามินบี 7 มีส่วนช่วยในการสังเคราะห์เคราติน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยในการสร้างและงอกเส้นผมใหม่
วิตามินบี 9 (folic acid) หากเด็กขาดวิตามินบี 9 จะทำให้เกิดโรคโลหิตจาง และอ่อนเพลีย เนื่องจากวิตามินบี 9 มีบทบาทในการสร้างดีเอ็นเอและเซลล์เม็ดเลือดแดง
วิตามินบี 12 (cyanocobalamin) หากเด็กขาดวิตามินบี 12 จะทำให้เสี่ยงเป็นโรคโลหิตจาง เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ตัวซีด ปวดศีระษะ เนื่องจากวิตามินบี 12 มีบทบาทสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง รวมถึงมีส่วนช่วยทำให้การทำงานของระบบประสาทเป็นไปได้อย่างปกติ
โดยแหล่งอาหารที่พบคือ ผลไม้ ผักใบเขียว ปลา ผลิตภัณฑ์จากนม ธัญพืช ถั่วและถั่วเปลือกแข็ง
ปริมาณที่ลูกควรได้รับต่อวัน คือ
เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับวิตามิน
B1 0.5 มก.
B2 0.5 มก.B3 6 มก.
B5 2 มก.
B6 0.5 มก.
B7 0.008 มก.
B9 0.12 มก.
B12 0.0009 มก.
เด็กอายุ 4-8 ปี ควรได้รับวิตามิน B1 0.6 มก.
B2 0.6 มก.
B3 8 มก.
B5 3 มก.
B6 0.6 มก.
B7 0.012 มก.
B9 0.14-0.18 มก.
B12 0.0012 มก.
3. วิตามินซี (Vitamin C)
วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันและวิตามินซีมีส่วนช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กเพื่อป้องกันโรคโลหิตจาง โดยแหล่งอาหารที่พบคือ ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ส้ม ฝรั่ง กีวี สตรอเบอร์รี่ บร๊อคโคลี มะเขือเทศ พริกหยวกเขียวและแดง
ปริมาณที่ลูกควรได้รับต่อวัน คือ
เด็กอายุ 1-3 ปีควรได้รับ 25 มก.
เด็กอายุ 4-8 ปีควรได้รับ 30-40 มก.
หากเด็กขาดวิตามินซีจะมีอาการ เลือดออกง่าย เช่นเลือดออกตามไรฟัน มีอาการปวดตามข้อหรือกระดูก แผลหายช้า เนื่องจากวิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยในการสร้างและบำรุงรักษาเนื้อเยื่อในร่างกาย
4. วิตามินดี (Vitamin D)
วิตามินดี มีส่วนช่วยส่งเสริมกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังช่วยร่างกายดูดซึมแคลเซียม หากได้รับวิตามินดีไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดความเสียงต่อการเกิดโรคกระดูกอ่อนแอและผิดรูป (rickets) โดยแหล่งอาหารที่พบคือ ปลาไขมันสูง เช่น แซลมอน ซาร์ดีน น้ำมันตับปลา ไข่แดง ชีส ธัญพืช
ปริมาณที่ลูกควรได้รับต่อวัน คือ
เด็กอายุ 1-3 ปีควรได้รับ 0.01 มก.
เด็กอายุ 4-8 ปีควรได้รับ 0.015 มก.
หากเด็กขาดวิตามินดี จะมีอาการปวดหลัง หรือปวดกระดูกอยู่บ่อยๆ มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งจะทำให้มีโอกาสเป็นโรคเบาหวาน โรครูมาตอยด์ โรคภูมิแพ้ตัวเอง (SLE) เนื่องจากวิตามินดีมีความสำคัญในการควบคุมสมดุลแคลเซียมและฟอสเฟต ตลอดจนสุขภาพของกระดูก และภูมิคุ้มกันของร่างกาย
5. วิตามินอี (Vitamin E)
วิตามินอี มีส่วนช่วยบำรุงสมอง ทำให้การตอบสนองของร่างกายเป็นไปตามปกติ บำรุงผิวหนัง และเซลล์ในร่างกาย โดยแหล่งอาหารที่พบคือ ถั่วเปลือกแข็ง (เช่น อัลมอนด์ เฮเซลนัท) มะม่วงกีวี่ มะเขือเทศ น้ำมันมะกอก น้ำมันทานตะวัน
ปริมาณที่ลูกควรได้รับต่อวัน คือ
เด็กอายุ 1-3 ปีควรได้รับ 6 มก.
เด็กอายุ 4-8 ปีควรได้รับ 9 มก.
หากเด็กขาดวิตามินอี จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดกล้ามเนื้อ ปัญหาทางระบบประสาทเช่นการตอบสนองของร่างกายช้ากว่าปกติ เนื่องจากวิตามินอีนั้นถูกจัดให้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์ในการป้องกันการทำลายเซลล์ต่างๆของร่างกาย
6. วิตามินเค (Vitamin K)
มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เลือดแข็งตัว เมื่อเกิดบาดแผลหรือการบาดเจ็บ โดยแหล่งอาหารที่พบคือ ผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักโขม บรอกโคลี กะหล่ำปลี
ปริมาณที่ลูกควรได้รับต่อวัน คือ
เด็กอายุ 1-3 ปีควรได้รับ 30 มก.
เด็กอายุ 4-8 ปีควรได้รับ 55 มก.
หากกเด็กขาดวิตามินเค จะทำให้มีอาการเลือดออกได้ง่าย เช่น ผิวหนังมีจุดเลือดออกแดงๆเล็กกระจายทั่วไปคล้ายในโรคไข้เลือดออก หรือมีจ้ำห้อเลือด และมีอาการเลือดหยุดไหลช้าเมื่อเป็นแผลเพราะว่าวิตามินเคเป็นส่วนสำคัญในการผลิตโปรตีนที่จำเป็นสำหรับกระบวนการแข็งตัวของเลือด (coagulation) หากได้รับในปริมาณไม่เพียงจะทำให้เกิดอาการดังกล่าว
ดังนั้นหากคุณเเม่เริ่มสังเกตเห็นลูกน้อยมีอาหารภูมิคุ้มกันตก เช่น ป่วยบ่อย อ่อนเพลียง่าย ควรให้ลูกๆได้รับประทานอาหารที่มีความหลากหลาย และอุดมไปด้วยวิตามิน เช่น วิตามินเอ บี ซี ดี อี เเละเค เพื่อส่งเสริมให้ลูกน้อยมีสุขภาพที่แข็งเเรง มีภูมิต้านทาน ไม่ป่วยง่าย และทำให้มีการพัฒนาการเจริญเติบโตที่เหมาะสมตามช่วงวัยค่ะ
Comments